10 ข้อที่ Google มองว่า Content แบบนี้ไม่มีคุณภาพ
ในโลกออนไลน์ที่ข้อมูลข่าวสารไหลบ่าอย่างไม่หยุดนิ่ง Google เปรียบเสมือนบรรณารักษ์ผู้คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้งาน การที่เว็บไซต์ของคุณจะได้รับการมองเห็นและถูกจัดอันดับให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีได้นั้น คุณภาพของเนื้อหาจึงเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่ Google พิจารณา หากเนื้อหาของคุณไม่มีคุณภาพ ไม่เพียงแต่จะไม่สามารถดึงดูดผู้ใช้งานได้เท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลเสียต่ออันดับเว็บไซต์ของคุณอีกด้วย
ยกตัวอย่างเนื้อหาที่ Google มองว่าไม่มีคุณภาพ
ลองพิจารณาสถานการณ์เหล่านี้
- เว็บไซต์ขายสินค้า มีรายละเอียดสินค้าน้อยมาก เพียงแค่ชื่อสินค้าและราคา ไม่มีคำอธิบายคุณสมบัติ วิธีใช้ หรือรีวิวจากผู้ใช้งานจริง ทำให้ผู้ซื้อไม่มั่นใจและไม่อยากซื้อ
- บล็อกท่องเที่ยว คัดลอกบทความรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวจากเว็บไซต์อื่นมาลงโดยไม่ได้อ้างอิง หรือเขียนบทความสั้นๆ ที่ไม่มีรายละเอียดเชิงลึก ไม่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังวางแผนเดินทาง
- เว็บไซต์ให้ความรู้ สร้างหน้าเว็บที่มีแต่คำหลัก (Keyword) ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้นๆ ซ้ำๆ โดยไม่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์หรืออ่านเข้าใจได้จริง
- เว็บไซต์ข่าว นำเสนอข่าวสารเก่าที่ไม่มีการอัปเดต หรือนำเสนอข่าวที่มีความคลาดเคลื่อน ไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง
เนื้อหาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นตัวอย่างของเนื้อหาที่ Google มองว่าไม่มีคุณภาพ และอาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์นั้นๆ
ในการจัดอันดับเว็บไซต์ Google ให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อหา (Content Quality) เป็นอย่างมาก หากเนื้อหาไม่มีคุณภาพ อาจส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณถูกลดอันดับ หรือไม่ถูกจัดอันดับเลยก็เป็นได้
ต่อไปนี้คือ 10 ข้อที่ Google มองว่า Content แบบนี้ไม่มีคุณภาพ ซึ่งคุณควรหลีกเลี่ยง
1.เนื้อหาลอกเลียนแบบ (Duplicated Content): การคัดลอกเนื้อหาจากเว็บไซต์อื่นมาลงในเว็บไซต์ของคุณทั้งหมดหรือบางส่วน โดยไม่มีการปรับปรุงหรือเพิ่มคุณค่าใดๆ ถือเป็นการกระทำที่ Google ไม่ชอบอย่างยิ่ง และอาจถูกลงโทษได้
วิธีแก้ไข: สร้างเนื้อหาต้นฉบับที่เป็นเอกลักษณ์ หรือหากจำเป็นต้องอ้างอิง ควรมีการปรับปรุง เขียนใหม่ด้วยภาษาของคุณเอง และให้เครดิตแหล่งที่มา
2.เนื้อหาที่สร้างขึ้นอัตโนมัติ (Automatically Generated Content): เนื้อหาที่สร้างขึ้นโดยโปรแกรมหรือ AI โดยไม่มีการตรวจสอบ แก้ไข หรือปรับปรุงจากมนุษย์ มักจะมีคุณภาพต่ำ อ่านไม่เป็นธรรมชาติ และไม่ให้คุณค่าแก่ผู้อ่าน
วิธีแก้ไข: หากใช้ AI ช่วยสร้างเนื้อหา ควรใช้เป็นเพียงเครื่องมือช่วย และต้องมีการตรวจสอบ แก้ไข ปรับปรุง และเพิ่มความเป็นมนุษย์ลงไปในเนื้อหา
3.เนื้อหาคุณภาพต่ำ (Thin Content): เนื้อหาที่มีปริมาณน้อย ไม่ครบถ้วน ไม่มีประโยชน์ หรือไม่สามารถตอบคำถามของผู้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ เช่น หน้าเว็บที่มีแค่รูปภาพไม่กี่รูปพร้อมคำบรรยายสั้นๆ
วิธีแก้ไข: สร้างเนื้อหาที่มีความยาวเหมาะสม ครบถ้วน และมีประโยชน์ต่อผู้อ่านอย่างแท้จริง
4.เนื้อหาที่เน้น Keyword มากเกินไป (Keyword Stuffing): การยัดคำหลัก (Keyword) ซ้ำๆ มากเกินไปในเนื้อหา โดยไม่เป็นธรรมชาติและทำให้การอ่านติดขัด มีจุดประสงค์เพื่อหลอกอัลกอริทึมของ Google ซึ่งในปัจจุบัน Google ฉลาดพอที่จะจับได้
วิธีแก้ไข: ใช้ Keyword อย่างเป็นธรรมชาติในปริมาณที่เหมาะสม กระจายไปทั่วทั้งบทความ และใช้คำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน (LSI Keywords)
5.เนื้อหาที่ไม่ตรงกับเจตนาของผู้ค้นหา (Irrelevant Content / Mismatched Search Intent): การสร้างเนื้อหาที่ชื่อเรื่องหรือคำโปรยดึงดูดใจ แต่เนื้อหาภายในกลับไม่ตรงกับสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการ หรือไม่สามารถแก้ปัญหาให้ผู้ค้นหาได้
วิธีแก้ไข: ทำความเข้าใจเจตนาของผู้ค้นหา (Search Intent) และสร้างเนื้อหาที่ตรงประเด็น สามารถตอบคำถามหรือแก้ปัญหาให้ผู้ค้นหาได้อย่างแท้จริง
6.เนื้อหาที่มีความแม่นยำต่ำ / ไม่ถูกต้อง (Inaccurate/Misleading Content): ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ล้าสมัย หรือเป็นเท็จ อาจทำให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลผิดๆ และ Google จะมองว่าเนื้อหานั้นไม่มีคุณภาพ
วิธีแก้ไข: ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ อ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
7.เนื้อหาที่เต็มไปด้วยโฆษณามากเกินไป (Too Many Ads): การใส่โฆษณาจำนวนมากเกินไปบนหน้าเว็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโฆษณาที่บดบังเนื้อหาหลัก อาจทำให้ประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้น่ารำคาญ
วิธีแก้ไข: วางตำแหน่งโฆษณาอย่างเหมาะสม ไม่บดบังเนื้อหา และไม่ใส่โฆษณามากเกินไปจนรบกวนการอ่าน
8.เนื้อหาที่ซ่อนไว้ (Hidden Content): การใช้เทคนิคซ่อนข้อความหรือลิงก์ด้วยการทำให้ตัวอักษรเป็นสีเดียวกับพื้นหลัง หรือซ่อนไว้หลังรูปภาพ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อ manipulat การจัดอันดับ
วิธีแก้ไข: ไม่ควรใช้เทคนิคนี้ เพราะ Google ถือเป็นการละเมิดหลักเกณฑ์ (Guidelines)
9.เนื้อหาที่มีการสะกดคำผิด / ไวยากรณ์ไม่ถูกต้อง (Poor Spelling/Grammar): เนื้อหาที่มีข้อผิดพลาดทางภาษาจำนวนมาก อาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดหรือไม่น่าเชื่อถือ แสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพ
วิธีแก้ไข: ตรวจสอบการสะกดคำและไวยากรณ์อย่างละเอียดก่อนเผยแพร่ อาจใช้เครื่องมือช่วยตรวจสอบ หรือให้ผู้อื่นช่วยอ่านทาน
10.เนื้อหาที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน (Content that Lacks Value): เนื้อหาที่ไม่ได้ให้คุณค่าใดๆ แก่ผู้อ่าน ไม่ว่าจะด้วยการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ไม่น่าสนใจ หรือไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน
วิธีแก้ไข: ก่อนสร้างเนื้อหา ควรคิดถึงประโยชน์ที่ผู้ใช้งานจะได้รับ พยายามสร้างเนื้อหาที่ให้ข้อมูลเชิงลึก มีมุมมองใหม่ๆ หรือสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานคือหัวใจสำคัญของการทำ SEO ที่ยั่งยืนและประสบความสำเร็จในระยะยาวค่ะ
สรุป สร้างสรรค์เนื้อหาคุณภาพเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
การทำความเข้าใจว่า Google ประเมินคุณภาพเนื้อหาอย่างไร และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้เนื้อหาถูกมองว่าไม่มีคุณภาพ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการให้เว็บไซต์ของตนเองประสบความสำเร็จ การมุ่งมั่นสร้างสรรค์เนื้อหาที่เป็นต้นฉบับ มีประโยชน์ ครบถ้วน ถูกต้อง น่าเชื่อถือ และมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน จะเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งในการไต่อันดับบน Google และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับเว็บไซต์ของคุณในระยะยาว