สร้อยทอง 1 สลึง หนักเท่าไร เลือกซื้ออย่างไรในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวน ทองคำยังคงเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุน ทั้งในแง่ของการเก็บออมระยะยาวและการเก็งกำไรระยะสั้น โดยเฉพาะในประเทศไทย “สร้อยทอง” ถือเป็นทองคำรูปพรรณที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากมีความสวยงาม ใช้เป็นเครื่องประดับได้ และยังสามารถเปลี่ยนกลับเป็นเงินสดได้ง่ายอีกด้วย หนึ่งในขนาดยอดนิยมคือ “สร้อยทอง 1 สลึง” ที่หลายคนมักจะเริ่มต้นซื้อเพื่อเก็บสะสม แต่สำหรับนักลงทุนแล้ว การเข้าใจน้ำหนักทอง หน่วยวัด และวิธีเลือกซื้อสร้อยทองอย่างถูกต้องคือเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

สร้อยทอง 1 สลึง หนักเท่าไร ?

คำว่า “1 สลึง” ในบริบทของทองคำ หมายถึงหน่วยวัดน้ำหนักทองที่เป็นที่รู้จักกันในประเทศไทย โดยสร้อยทอง 1 สลึง จะมีน้ำหนักเท่ากับ 3.75 กรัม

หน่วยวัดน้ำหนักทองในไทยมีดังนี้:

  • 1 บาท = 15.16 กรัม
  • 1 สลึง = 1/4 บาท = 3.79 กรัม (โดยประมาณ)

ในความเป็นจริง น้ำหนักของสร้อยทอง 1 สลึงที่ออกจำหน่ายจะใกล้เคียงกับ 3.79 กรัม แต่ไม่ใช่น้ำหนักทองล้วน 100% เพราะทองรูปพรรณจะมีค่ากำเหน็จ และอาจมีส่วนผสมของโลหะอื่นเพื่อความแข็งแรง โดยส่วนใหญ่มักเป็นทองคำ 96.5% ซึ่งเป็นมาตรฐานทองคำในประเทศไทย

วิธีเลือกซื้อสร้อยทอง 1 สลึง สำหรับนักลงทุน

  1. เลือกทองคำมาตรฐาน 96.5%

สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในทองคำ ควรเลือกทองคำที่มีความบริสุทธิ์มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในตลาด เช่น 96.5% ซึ่งเป็นค่าบริสุทธิ์ที่สมาคมค้าทองคำไทยใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐาน ราคาทองในตลาดจะอ้างอิงจากทองคำบริสุทธิ์ในระดับนี้

  1. เลือกซื้อจากร้านทองที่น่าเชื่อถือ

การซื้อทองจากร้านที่ได้รับการรับรองจากสมาคมค้าทองคำ และมีใบรับประกันคุณภาพทอง จะช่วยลดความเสี่ยงในการได้ทองปลอม หรือทองที่มีเปอร์เซ็นต์ต่ำกว่ามาตรฐาน

  1. สอบถามราคาทองและค่ากำเหน็จให้ชัดเจน

ราคาทองรูปพรรณจะรวมทั้งราคาทองคำตามน้ำหนัก และ “ค่ากำเหน็จ” ซึ่งเป็นค่าแรงในการผลิตเป็นรูปพรรณ เช่น สร้อยคอ สร้อยข้อมือ เป็นต้น โดยค่ากำเหน็จของทอง 1 สลึงอาจอยู่ที่ประมาณ 300-500 บาท หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับลวดลาย ความประณีต และร้านค้าที่จำหน่าย ดังนั้นควรสอบถามรายละเอียดให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจซื้อ

  1. พิจารณารูปแบบของสร้อยทอง

นักลงทุนควรเลือกแบบสร้อยที่มีลวดลายเรียบง่าย เพราะเมื่อนำไปขายคืน ร้านทองจะไม่หักค่าละลายลวดลายหรือค่าเสียรูปมากเท่ากับลายที่ซับซ้อน เช่น ลายกระดูกงู ลายโซ่ ลายผ่าหวาย เป็นต้น

  1. ตรวจสอบราคาขายคืน (รับซื้อคืน)

หากต้องการลงทุนเพื่อขายเก็งกำไรในอนาคต ควรสอบถามอัตราการรับซื้อคืนจากร้านทองที่ซื้อ เพื่อเปรียบเทียบว่าร้านใดให้ราคาที่คุ้มค่ามากที่สุด และควรเลือกร้านที่มีสาขาจำนวนมาก เพื่อความสะดวกในการขายคืน

  1. เก็บใบเสร็จและใบรับประกันให้เรียบร้อย

หลักฐานการซื้อทอง เช่น ใบเสร็จรับเงินและใบรับประกันทอง จะช่วยให้สามารถขายคืนได้ง่ายขึ้น และเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าทองที่ซื้อมีเปอร์เซ็นต์และน้ำหนักตามมาตรฐานจริง

สร้อยทอง 1 สลึง แม้จะมีน้ำหนักไม่มาก แต่ก็สามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนในทองคำได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากนักลงทุนเข้าใจเรื่องน้ำหนัก มาตรฐานทอง รูปแบบ และค่ากำเหน็จอย่างละเอียด การลงทุนในทองรูปพรรณอย่างสร้อยทองก็สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และยังคงความคล่องตัวในการใช้งานหรือเปลี่ยนกลับเป็นเงินสดเมื่อจำเป็นได้อีกด้วย

ดังนั้น ก่อนจะเลือกซื้อสร้อยทอง 1 สลึงเพื่อการลงทุน ควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน และติดตามราคาทองคำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ตัดสินใจซื้อขายได้ในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด