เมื่อพูดถึง “ประกันสุขภาพ” หลายคนอาจรู้จักแต่เพียงคร่าว ๆ ว่าคือเครื่องมือช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเมื่อต้องเข้ารับการรักษา แต่ในรายละเอียดแล้ว ประกันประเภทนี้ยังมีหลายประเภทให้เลือก ที่เห็นชัดเจนที่สุด คือการแบ่งออกเป็นประกันแบบเหมาจ่ายและประกันแบบแยกค่าใช้จ่าย ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ และอาจส่งผลต่อความคุ้มครองที่ได้รับอย่างมาก จึงควรทำความเข้าใจให้ดีก่อนตัดสินใจเลือก เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ที่สุด
ประกันสุขภาพเหมาจ่ายคืออะไร ?
ประกันแบบเหมาจ่าย คือ แผนประกันที่ให้วงเงินความคุ้มครองแบบรวม (เหมา) ต่อปี หรือในแต่ละรอบของการรักษา โดยไม่จำกัดวงเงินเฉพาะรายจ่าย เช่น ค่าห้อง ค่าแพทย์ หรือค่ายาแยกจากกัน ซึ่งหมายความว่า หากผู้เอาประกันต้องเข้ารับการรักษา โรงพยาบาลจะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจริง แล้วบริษัทประกันจะจ่ายตามวงเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ไม่เกินวงเงินสูงสุด
ยกตัวอย่างเช่น หากแผนประกันระบุว่าวงเงินความคุ้มครอง 1 ล้านบาทต่อปี ไม่ว่าจะเป็นค่าห้อง ICU, ค่าผ่าตัด, ค่ายา หรือค่าหมอรวมกัน หากยอดใช้ไม่เกินวงเงินนี้ ก็สามารถเบิกได้ทั้งหมด
ประกันสุขภาพแบบแยกค่าใช้จ่ายคืออะไร ?
ประกันแบบแยกค่าใช้จ่าย หรือบางครั้งเรียกว่า “แบบค่ารักษาตามจริงแบบแยกรายการ” จะระบุวงเงินคุ้มครองแต่ละหมวดหมู่ไว้อย่างชัดเจน เช่น
- ค่าห้อง: ไม่เกิน 2,000 บาท/วัน
- ค่าผ่าตัด: ไม่เกิน 50,000 บาท/ครั้ง
- ค่ายา: ไม่เกิน 10,000 บาท/ครั้ง
ซึ่งหากค่าใช้จ่ายในหมวดใดเกินวงเงิน บริษัทประกันจะไม่รับผิดชอบส่วนเกินนั้น แม้จะยังเหลือวงเงินในหมวดอื่นอยู่ก็ตาม
ข้อดีของการเลือกใช้ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย
- ความยืดหยุ่นสูงกว่า : ไม่ต้องกังวลว่าแต่ละหมวดจะเกินวงเงิน เพราะระบบเหมาจ่ายดูรวมทั้งหมด ทำให้วางแผนรักษาได้ง่ายกว่า
- เหมาะกับการรักษาโรคหนักหรือฉุกเฉิน : เนื่องจากโรคร้ายแรงมักมีค่าใช้จ่ายสูงในหลายหมวด หากใช้แบบแยกค่าใช้จ่าย อาจมีส่วนเกินที่ผู้ป่วยต้องรับภาระเอง
- เข้ารักษาในโรงพยาบาลชั้นนำได้สะดวกกว่า : โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งมีค่าใช้จ่ายสูง หากแผนประกันเป็นแบบเหมาจ่ายที่ครอบคลุมเพียงพอ ก็สามารถเข้ารับการรักษาโดยไม่ต้องสำรองจ่ายมากนัก
- ลดความยุ่งยากในการเบิกจ่าย : ไม่ต้องคำนวณให้วุ่นว่าค่าห้องเกินไหม ค่ายาเกินหรือเปล่า แค่ดูว่ายังอยู่ในวงเงินรวมของปีหรือไม่ก็เพียงพอ
ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายอาจมีเบี้ยที่สูงกว่าแบบแยกค่าใช้จ่าย แต่แลกมากับความคุ้มครองที่ยืดหยุ่นและครอบคลุมกว่า เหมาะกับผู้ที่ต้องการความอุ่นใจในการรักษาโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเพดานรายจ่ายแต่ละหมวด อย่างไรก็ตาม การเลือกแผนประกันควรพิจารณาให้เหมาะสมกับรายได้ ไลฟ์สไตล์ และความเสี่ยงด้านสุขภาพของแต่ละคนด้วยเช่นกัน