ทำไมโปรแกรมเมอร์จบใหม่หางานยาก? เปิดสาเหตุ พร้อมแนวทางสร้างตัวตนให้โดดเด่น
“สมัครงานไปหลายสิบที่ แต่เงียบกริบ” หรือ “ตำแหน่งเริ่มต้น แต่ขอประสบการณ์ 1-2 ปี” คือเสียงสะท้อนที่นักศึกษาจบใหม่สายเทคฯ จำนวนมากกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ หากคุณเป็นหนึ่งในนั้น ขอให้เข้าใจก่อนว่านี่ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัว แต่คือ “ภาวะ” การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นจริงในตลาดแรงงานโปรแกรมเมอร์ บทความนี้จะเจาะลึกถึงสาเหตุของปรากฏการณ์นี้ พร้อมชี้แนวทางที่ชัดเจนว่าบัณฑิตจบใหม่จะสร้างความแตกต่างและเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับความท้าทายนี้ได้อย่างไร
เจาะลึกสาเหตุ: ทำไมตลาดแรงงานโปรแกรมเมอร์ถึงเปลี่ยนไป?
ภาวะ “วิกฤตโปรแกรมเมอร์จบใหม่” ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัจจัยเดียว แต่เป็นผลพวงจากหลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ดังนี้
ตลาดเข้าสู่ช่วงปรับสมดุล (Market Correction): หลังจากช่วงเฟื่องฟูหลังยุคโควิดที่บริษัทเทคฯ ต่างเร่งจ้างงานกันอย่างมหาศาล ขณะนี้ตลาดได้เข้าสู่ช่วงของการปรับฐาน บริษัทต่างๆ ชะลอการจ้างงานเพื่อประเมินทิศทางเศรษฐกิจและจัดทัพองค์กรใหม่ ทำให้ตำแหน่งงานสำหรับผู้เริ่มต้นลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
อุปทานแรงงานล้นตลาด (Supply Glut): กระแสความนิยมในอาชีพโปรแกรมเมอร์ทำให้มีผู้คนจำนวนมากหันมาศึกษาด้านนี้ ทั้งจากหลักสูตรในมหาวิทยาลัย, คอร์สออนไลน์, Bootcamp หรือเรียนรู้ด้วยตนเอง ส่งผลให้จำนวนผู้สมัครในแต่ละตำแหน่งเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด นายจ้างจึงมีตัวเลือกมากขึ้นและใช้เวลาคัดกรองอย่างเข้มข้น
การแข่งขันที่สูงขึ้นจากคนมีประสบการณ์: ภาวะเศรษฐกิจและการ Layoff ในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ทั่วโลก ทำให้มีบุคลากรที่มีประสบการณ์จำนวนมากกลับเข้ามาในตลาดแรงงานอีกครั้ง คนกลุ่มนี้พร้อมที่จะแข่งขันในตำแหน่ง Junior หรือยอมลดเงินเดือนเพื่อแลกกับความมั่นคง ส่งผลให้บัณฑิตจบใหม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น
ทางออก: สร้างความ ‘แตกต่าง’ เพื่อเป็นคนที่บริษัทต้องการ
ในวันที่การแข่งขันสูง การมีแค่ใบปริญญาอาจไม่เพียงพออีกต่อไป บัณฑิตจบใหม่ที่ประสบความสำเร็จในการหางานมักมี “บางสิ่ง” ที่ทำให้พวกเขาแตกต่างและโดดเด่นออกมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทุกคนสามารถสร้างได้
1. สะสมประสบการณ์จริง ไม่ใช่แค่เกรดในตำรา
บริษัทต้องการคนที่ “พร้อมทำงาน” มากที่สุด การมีประสบการณ์จากการฝึกงานจริง, การทำงานอาสาสมัคร หรือโครงการฟรีแลนซ์เล็กๆ ตั้งแต่ยังศึกษาอยู่ (เช่น ประสบการณ์รวม 6 เดือน – 1 ปี) ถือเป็นข้อได้เปรียบมหาศาล เพราะมันแสดงให้เห็นว่าคุณเคยผ่านสภาพแวดล้อมการทำงานจริงมาแล้ว
2. มีผลงานที่จับต้องได้ (Tangible Portfolio)
สร้างโปรเจกต์ส่วนตัว (Side Project) ที่เกิดจากความสนใจของคุณเอง หรือเข้าร่วมการแข่งขันเขียนโปรแกรม, แก้โจทย์บนแพลตฟอร์มอย่าง Leetcode, HackerRank และนำผลงานทั้งหมดรวบรวมไว้บน GitHub ที่เปรียบเสมือนเรซูเม่ของโปรแกรมเมอร์ สิ่งเหล่านี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ที่พิสูจน์ทักษะของคุณได้ดีกว่าคำพูด
3. เข้าใจกระบวนการทำงานแบบมืออาชีพ
นอกจากการเขียนโค้ด คุณต้องแสดงให้เห็นว่าสามารถทำงานร่วมกับทีมได้ทันที โดยทำความเข้าใจเครื่องมือและหลักการพื้นฐาน เช่น:
- Version Control: การใช้งาน Git อย่างคล่องแคล่ว
- Development Methodology: ความเข้าใจในหลักการทำงานแบบ Agile/Scrum
- Teamwork: รู้จักการสื่อสาร รายงานความคืบหน้า และทำงานร่วมกับผู้อื่น
4. พัฒนาทักษะการสื่อสารและทัศนคติ (Soft Skills)
ท้ายที่สุด บริษัทไม่ได้จ้างแค่ “คนเขียนโค้ด” แต่จ้าง “เพื่อนร่วมทีม” ทักษะการสื่อสารที่ดี การนำเสนอแนวคิด การรับฟังความคิดเห็น และทัศนคติที่พร้อมจะเรียนรู้และเติบโต คือคุณสมบัติสำคัญที่นายจ้างมองหาในตัวผู้สมัครเสมอ
สรุป
ตลาดแรงงานไม่ได้ใจร้ายกับโปรแกรมเมอร์จบใหม่ แต่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคที่การแข่งขันสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บริษัทไม่ได้ปฏิเสธเด็กใหม่ แต่พวกเขามีความจำเป็นต้องเลือกคนที่ “พร้อม” ที่สุดเพื่อขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า
ดังนั้น คำตอบจึงไม่ใช่การนั่งรอโอกาส แต่คือการลุกขึ้นมา “เตรียมตัวให้พร้อมก่อนที่โอกาสจะมาถึง” เริ่มสร้างผลงาน สะสมประสบการณ์ และพัฒนาทักษะรอบด้านตั้งแต่วันนี้ เพราะในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาสสำหรับผู้ที่พร้อมเสมอ “คนเก่งมีงานทำเสมอ แต่ก่อนจะเป็นคนเก่ง… คุณต้องกล้าลงมือทำมากกว่าคนอื่น”