คงจะไม่เกินจริงไปนัก หากจะบอกว่า ปัญหาหลุมสิวเป็นสิ่งที่สร้างความกังวลใจให้กับใครหลายคน เพราะนอกจากจะส่งผลต่อความมั่นใจแล้ว ยังทำให้การแต่งหน้าเป็นเรื่องยากขึ้นอีกด้วย หลุมสิวเกิดจากการอักเสบของสิวที่รุนแรงจนทำลายโครงสร้างคอลลาเจนใต้ผิว เมื่อสิวหายไปแล้วมักทิ้งร่องรอยเป็นหลุมเอาไว้ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับวิธีรักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยม พร้อมข้อดีของแต่ละวิธี เพื่อให้ผู้ที่กำลังมีปัญหาได้เข้าใจถึงการรักษายิ่งขึ้น

วิธีรักษาหลุมสิวให้สวยใส

  1. เลเซอร์ Fractional CO2 (คาร์บอนไดออกไซด์แฟรกชันนัล)

เลเซอร์ Fractional CO2 เป็นหนึ่งในวิธีรักษาหลุมสิวที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและได้ผลลัพธ์ค่อนข้างดี หลักการทำงานของเลเซอร์ชนิดนี้คือการยิงลำแสงเลเซอร์ที่มีขนาดเล็กมากเป็นจุดๆ ลงบนผิวหนัง ทำให้เกิดการสร้างความร้อนและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ รวมถึงช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสียหายออกไป

ข้อดี:

  • เห็นผลชัดเจน: ช่วยให้หลุมสิวดูตื้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน และยังช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอขึ้นอีกด้วย
  • กระตุ้นคอลลาเจน: กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น
  • ใช้ได้กับหลุมสิวหลายประเภท: เหมาะสำหรับหลุมสิวประเภท Rolling Scar และ Boxcar Scar
  1. PicoSure Laser (พิโคเซคเคินด์ เลเซอร์)

PicoSure Laser หรือที่รู้จักกันในชื่อ Picosecond Laser เป็นเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้ความเร็วแสงในระดับ Picosecond (หนึ่งในล้านล้านของวินาที) ในการส่งพลังงานเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็วและแม่นยำ พลังงานที่ส่งเข้าไปจะเปลี่ยนเป็นคลื่นเสียง Mechanic Optical Effect พร้อมกับช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว โดยไม่ก่อให้เกิดความร้อนสะสมบนผิวมากนัก

ข้อดี:

  • เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่เจ็บน้อย พักฟื้นสั้น: เนื่องจากพลังงานที่ส่งไปมีความเร็วสูง ทำให้รู้สึกเจ็บน้อยกว่าเลเซอร์ชนิดอื่น และมีระยะเวลาพักฟื้นที่สั้นกว่า
  • ลดโอกาสเกิดรอยดำหลังทำ: ลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำหรือรอยแดงหลังการรักษา ซึ่งเป็นข้อกังวลที่พบบ่อยในเลเซอร์บางชนิด
  • รักษาได้ทั้งหลุมสิวและรอยดำ: นอกจากหลุมสิวแล้ว PicoSure ยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำ รอยคล้ำ และปรับสีผิวให้กระจ่างใสขึ้นได้ด้วย
  1. Subcision (ตัดพังผืดใต้หลุมสิว)

Subcision เป็นหัตถการที่ทำโดยแพทย์ผิวหนัง โดยใช้เข็มพิเศษสอดเข้าไปใต้ผิวบริเวณหลุมสิวเพื่อตัดพังผืดที่ดึงรั้งผิวให้เกิดเป็นหลุมบุ๋ม เมื่อพังผืดถูกตัดออก ผิวจะสามารถยกตัวขึ้นได้ และร่างกายจะตอบสนองด้วยการสร้างคอลลาเจนใหม่มาเติมเต็มบริเวณที่เคยเป็นหลุม

ข้อดี:

  • เหมาะกับหลุมสิวลึก: มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาหลุมสิวประเภท Rolling Scar ที่มีลักษณะเป็นร่องคลื่น และ Atrophic Scar ที่เป็นหลุมลึก
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนระยะยาว: เมื่อพังผืดถูกตัดออก ร่างกายจะกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่มาเติมเต็มอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลลัพธ์คงทน
  • ทำร่วมกับวิธีอื่นได้: สามารถทำร่วมกับการรักษาอื่นๆ เช่น เลเซอร์ หรือ PRP เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา
  1. Microneedling with PRP (เดอร์มาโรลเลอร์กับเกล็ดเลือดเข้มข้น)

Microneedling หรือการใช้เข็มเล็กๆ กลิ้งบนผิวเพื่อสร้างบาดแผลขนาดเล็กจำนวนมาก เป็นวิธีรักษาหลุมสิวที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ขึ้นมาซ่อมแซมตัวเอง การทำ Microneedling ร่วมกับการใช้ PRP (Platelet-Rich Plasma) หรือเกล็ดเลือดเข้มข้นที่สกัดจากเลือดของคนไข้เอง จะช่วยเพิ่มปัจจัยการเติบโต (Growth Factors) ที่จะช่วยฟื้นฟูผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ข้อดี:

  • ฟื้นฟูผิวอย่างเป็นธรรมชาติ: เป็นการกระตุ้นการซ่อมแซมและสร้างเซลล์ผิวใหม่ตามธรรมชาติของร่างกาย
  • ลดการอักเสบและรอยแดง: PRP มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบและเร่งกระบวนการหายของแผล
  • ปลอดภัยสูง: เนื่องจากใช้เกล็ดเลือดของคนไข้เอง จึงมีความปลอดภัยสูงและลดความเสี่ยงของการแพ้

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหลุมสิว

อย่างไรก็ตาม การป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการหลีกเลี่ยงปัญหาหลุมสิว เพราะฉะนั้นควรเริ่มต้นจากการดูแลผิวอย่างถูกวิธี ก็จะช่วยลดโอกาสเกิดหลุมสิวได้อย่างมาก

  1. รักษาสิวอย่างถูกวิธี: เมื่อมีสิวอักเสบ ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการบีบ แกะ หรือกดสิวเองโดยไม่ถูกวิธี เพราะจะยิ่งเพิ่มการอักเสบและทำลายเนื้อเยื่อใต้ผิว
  2. ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic) และมีส่วนผสมที่ช่วยควบคุมความมันและลดการอักเสบของสิว เช่น Salicylic Acid หรือ Benzoyl Peroxide
  3. ทำความสะอาดผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เพื่อขจัดสิ่งสกปรก น้ำมันส่วนเกิน และเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป
  4. ปกป้องผิวจากแสงแดด: แสงแดดสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและทำให้รอยสิวเข้มขึ้นได้ ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเป็นประจำทุกวัน แม้ในวันที่ไม่ได้ออกไปกลางแจ้ง
  5. ไม่ควรใช้สกินแคร์ที่ก่อให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการอุดตันจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดสิวใหม่ และนำไปสู่การเกิดหลุมสิวได้ในที่สุด
  6. พบแพทย์ผิวหนังเมื่อสิวอักเสบรุนแรง: หากมีสิวอักเสบจำนวนมาก หรือเป็นสิวหัวช้าง ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่รวดเร็วและเหมาะสม เช่น การฉีดสเตียรอยด์เฉพาะจุด หรือการใช้ยารับประทาน เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการเกิดหลุมสิว

วิธีรักษาหลุมสิวต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอในการดูแล หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาหลุมสิว ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับสภาพผิวและประเภทของหลุมสิวที่เกิดขึ้น เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนอีกครั้ง