Site icon I3siam | ข่าวไอที อัพเดทข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ ข่าวเทคโนโลยี

PCOS คืออะไร ส่งผลกระทบอย่างไรต่อการตั้งครรภ์ ?

PCOS คืออะไรสำหรับผู้หญิงหลายคนที่พยายามมีบุตร แต่กลับพบว่ารอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มีสิวขึ้นง่าย ผมร่วง หรือมีขนดกผิดปกติ เมื่อไปพบแพทย์จึงทราบว่าตนเองมีภาวะ “PCOS” คือ Polycystic Ovary Syndrome (กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของภาวะมีบุตรยากในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์

ภาวะนี้อาจทำให้ผู้หญิงมีปัญหาเรื่องการตกไข่หรือไข่ไม่ตกอย่างสม่ำเสมอ ทำให้โอกาสตั้งครรภ์ลดลง แม้ว่าจะไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถมีลูกได้เลย แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการดูแลและวางแผนอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงพยายามมีบุตร

PCOS คืออะไร ?

PCOS (Polycystic Ovary Syndrome) คือภาวะที่รังไข่ของผู้หญิงมีถุงน้ำขนาดเล็กหลายใบเกิดขึ้นรอบ ๆ รังไข่ โดยถุงน้ำเหล่านี้เกิดจากไข่ที่เจริญไม่เต็มที่และไม่สามารถตกไข่ได้ตามปกติ ส่งผลให้ร่างกายมีระดับฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) สูงกว่าปกติ และทำให้รอบเดือนผิดปกติ

อาการที่พบได้บ่อยในผู้หญิงที่มีภาวะ PCOS คืออย่างไร ?

PCOS ส่งผลกระทบอย่างไรต่อการตั้งครรภ์

  1. ไข่ไม่ตกหรือไข่ตกไม่สม่ำเสมอ
    การตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นได้เมื่อไข่ตกและมีการปฏิสนธิกับอสุจิ แต่ผู้หญิงที่มี PCOS มักมีการตกไข่ที่ผิดปกติหรือไม่ตกไข่เลย ทำให้โอกาสตั้งครรภ์ตามธรรมชาติลดลงอย่างมาก
  2. คุณภาพของไข่ลดลง
    ถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่อาจส่งผลต่อการพัฒนาและคุณภาพของไข่ที่สุก ทำให้แม้จะตกไข่ แต่ไข่อาจไม่แข็งแรงเพียงพอสำหรับการปฏิสนธิ
  3. เยื่อบุมดลูกหนาผิดปกติ
    การที่ร่างกายมีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงกว่าปกติและไม่มีโปรเจสเตอโรนมาควบคุม อาจทำให้เยื่อบุมดลูกหนาขึ้นผิดปกติ จนส่งผลต่อการฝังตัวของตัวอ่อน
  4. ความเสี่ยงระหว่างตั้งครรภ์สูงขึ้น
    ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ทั้งที่มีภาวะ PCOS มักมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง หรือภาวะแท้งบุตรในระยะเริ่มต้นมากกว่าผู้หญิงทั่วไป

วิธีดูแลและเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์สำหรับผู้มีภาวะ PCOS คืออย่างไร ?

  1. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
     การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เพราะน้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะยิ่งทำให้ฮอร์โมนเพศผิดปกติ ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดน้ำตาล แป้งขัดสี และไขมันทรานส์ พร้อมกับออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  2. รับการรักษาด้วยยา
     แพทย์อาจให้ยาช่วยกระตุ้นการตกไข่ เช่น Clomiphene citrate หรือ Letrozole เพื่อช่วยให้ไข่ตกในรอบเดือนนั้น ๆ และเพิ่มโอกาสในการปฏิสนธิ
  3. ใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ (Assisted Reproductive Technology)
     ในกรณีที่การรักษาด้วยยาไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำการทำ IUI (ฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก) หรือ IVF (เด็กหลอดแก้ว) เพื่อเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในผู้ที่มีไข่ตกไม่สม่ำเสมอ
  4. ตรวจและติดตามผลกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
     ผู้ที่มีภาวะ PCOS ควรเข้าพบสูตินรีแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามการทำงานของรังไข่และระดับฮอร์โมน รวมถึงวางแผนการรักษาให้เหมาะกับสภาพร่างกายแต่ละคน

ภาวะ PCOS ไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงจะไม่สามารถมีลูกได้ แต่จำเป็นต้องเข้าใจสาเหตุของความผิดปกติ และได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การปรับพฤติกรรมสุขภาพ ควบคุมน้ำหนัก และรับการดูแลด้านฮอร์โมนอย่างต่อเนื่อง สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Exit mobile version