หากคุณเคยป่วยเป็นไข้เลือดออกมาแล้ว อาจมีคำถามเกิดขึ้นว่า “เรายังจำเป็นต้องฉีดวัคซีนไข้เลือดออกอีกไหม ?” คำตอบนี้ไม่ใช่แค่ “ควร” หรือ “ไม่ควร” แบบตัดสินใจง่าย ๆ เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ตั้งแต่ชนิดของเชื้อเดงกีที่เคยติด ไปจนถึงอายุ ภูมิคุ้มกัน และสุขภาพโดยรวมของแต่ละบุคคล
ในบทความนี้ เราจะพาคุณเข้าใจลึกถึงกลไกของเชื้อไวรัสเดงกี วัคซีนไข้เลือดออกที่มีในปัจจุบัน และเหตุผลทางการแพทย์ว่าทำไมแม้เคยติดเชื้อแล้วก็ยังอาจได้รับประโยชน์จากวัคซีน
ไวรัสเดงกีมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ย่อย (DENV-1 ถึง DENV-4) การติดเชื้อจากสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งจะทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันถาวรต่อเชื้อนั้น แต่ ภูมิคุ้มกันต่ออีก 3 สายพันธุ์ที่เหลือจะไม่ครอบคลุม และอาจคุ้มกันได้เพียงชั่วคราว
ปัญหาคือการติดเชื้อครั้งที่สองจากสายพันธุ์อื่น อาจทำให้เกิด “อาการรุนแรงมากขึ้น” (Severe Dengue) เนื่องจากเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Antibody-Dependent Enhancement (ADE) ซึ่งแอนติบอดีจากการติดเชื้อครั้งก่อนจะกระตุ้นให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ง่ายขึ้น แทนที่จะยับยั้ง จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะช็อก เลือดออก หรือแม้แต่เสียชีวิต
กล่าวให้เข้าใจง่าย ๆ คือการเคยป่วยไข้เลือดออก 1 ครั้ง ไม่ได้แปลว่ารอดตลอดชีวิต ตรงกันข้าม มันอาจหมายถึงคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงขึ้น หากติดเชื้อครั้งที่สองต่างสายพันธุ์
วัคซีนไข้เลือดออก มีกี่ชนิดและทำงานอย่างไร ?
ปัจจุบันวัคซีนไข้เลือดออกที่ได้รับการรับรองและใช้งานในหลายประเทศมี 2 ชนิดหลัก ได้แก่:
- CYD-TDV (Dengvaxia®)
- พัฒนาโดย Sanofi Pasteur
- เป็นวัคซีนไวรัสเป็นชนิดอ่อนฤทธิ์
- ใช้สำหรับผู้มีอายุตั้งแต่ 9–45 ปี ที่เคยติดเชื้อเดงกีมาก่อนเท่านั้น
- ฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ห่างกันเข็มละ 6 เดือน
- ไม่แนะนำสำหรับคนไม่เคยติดเชื้อมาก่อน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงการติดเชื้อรุนแรงในอนาคตจากกลไก ADE
- Qdenga® (TAK-003)
- พัฒนาโดย Takeda
- เป็นวัคซีนไวรัสเป็นชนิดอ่อนฤทธิ์เช่นกัน แต่ใช้ไวรัสสายพันธุ์ 2 เป็นแกนหลัก
- ใช้ได้กับผู้ที่ ไม่เคยติดเชื้อมาก่อนก็ได้
- ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน
- ปัจจุบันเริ่มมีการใช้ในบางประเทศ รวมถึงผ่านการขึ้นทะเบียนในไทย
แล้วคนที่เคยเป็นไข้เลือดออก ควรฉีดหรือไม่ ?
คำตอบคือ “ควร” หากคุณเคยป่วยไข้เลือดออกแล้วและเข้าเกณฑ์อายุที่วัคซีนไข้เลือดออกแนะนำ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการระบาดสูงอย่างประเทศไทย
เหตุผลคือ:
- คุณยังมีโอกาสติดเชื้ออีก 3 สายพันธุ์ที่เหลือ
- การติดเชื้อซ้ำมีแนวโน้มรุนแรงกว่าเดิม
- วัคซีนไข้เลือดออกสามารถลดความรุนแรงและอัตราการป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ
- โดยเฉพาะ Dengvaxia® ที่ได้รับการแนะนำเฉพาะผู้ที่เคยติดเชื้อมาก่อนเท่านั้น จึง ยิ่งเหมาะสมสำหรับคุณ
ทั้งนี้ ก่อนฉีด Dengvaxia® จำเป็นต้อง ตรวจหาภูมิคุ้มกันหรือหลักฐานการติดเชื้อเดิม (Seropositive) เพื่อความปลอดภัย ส่วน Qdenga® กำลังเป็นที่น่าจับตามอง เพราะไม่ต้องตรวจมาก่อนก็สามารถฉีดได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อประเมินความเหมาะสมรายบุคคล
ข้อควรพิจารณาก่อนฉีดวัคซีน
- ควรเว้นระยะ อย่างน้อย 6 เดือนหลังหายจากไข้เลือดออก ก่อนรับวัคซีนไข้เลือดออก
- แจ้งแพทย์หากมีโรคประจำตัว หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- ผู้ที่อายุน้อยกว่า 9 ปี หรือมากกว่า 45 ปี อาจยังไม่เหมาะสมกับวัคซีนบางชนิด
- หากไม่แน่ใจว่าเคยติดเชื้อหรือไม่ สามารถตรวจหาแอนติบอดีจากเลือดได้
ป่วยมาแล้วก็ยังควรป้องกัน
การป่วยไข้เลือดออกแล้วหนึ่งครั้ง ไม่ได้หมายความว่าคุณปลอดภัยจากโรคนี้ตลอดไป ตรงกันข้าม อาจกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงมากขึ้นเมื่อเจอกับไวรัสสายพันธุ์อื่นในอนาคต การฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในผู้ที่เคยติดเชื้อเดงกีมาแล้ว ถือเป็นการเสริมภูมิคุ้มกันให้ครอบคลุม ลดความเสี่ยงจากโรครุนแรง และเป็นการสร้างภูมิร่วมในระดับสาธารณสุขอย่างยั่งยืน