- ทำความเข้าใจเรื่องเกรดของเนื้อออสเตรเลีย
ระบบการให้เกรดเนื้อวัวในออสเตรเลียเรียกว่า MSA (Meat Standards Australia) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับประเทศที่ควบคุมคุณภาพของเนื้อวัวอย่างเข้มงวด โดยจะพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ความนุ่ม สี ความชุ่มฉ่ำ และลายไขมัน (marbling)
- ลายไขมัน (Marbling Score) ยิ่งมีลายไขมันแทรกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มความนุ่มและรสชาติให้เนื้อ ซึ่งมักจะพบในเกรดสูง เช่น MSA 4 ขึ้นไป
- อายุวัวและวิธีเลี้ยง วัวที่เลี้ยงแบบปล่อยเลี้ยงอิสระ (Grass-fed) จะให้รสชาติที่ต่างจากวัวที่เลี้ยงด้วยธัญพืช (Grain-fed) ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน
- เลือกตัดส่วนเนื้อที่เหมาะกับเมนูที่ต้องการ
การเลือกเนื้อให้เหมาะกับการปรุงอาหารเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
- Ribeye หรือ Scotch Fillet: มีลายไขมันแทรกเยอะ เหมาะสำหรับการย่างเป็นสเต็ก
- Tenderloin (เนื้อสันใน): นุ่มที่สุด เหมาะกับการทำสเต็กหรือเมนูพรีเมียม
- Striploin (เนื้อสันนอก): มีความนุ่มและความมันปานกลาง รสชาติกลมกล่อม
- Brisket (เนื้อหน้าอก): เหมาะกับการตุ๋นหรืออบช้า ๆ จนเปื่อย
- พิจารณาวิธีการบรรจุและแหล่งจำหน่าย
เนื้อออสเตรเลียที่ดีควรบรรจุในระบบสุญญากาศ (Vacuum Seal) เพื่อรักษาความสดใหม่ และควรแช่เย็นอย่างเหมาะสม
- ตรวจสอบวันผลิตและวันหมดอายุบนบรรจุภัณฑ์
- เลือกซื้อจากร้านค้า หรือซูเปอร์มาร์เก็ตที่ได้มาตรฐาน มีการควบคุมอุณหภูมิ และมีฉลากชัดเจน
นอกจากนี้ หากซื้อจากร้านออนไลน์ ควรเลือกร้านที่มีรีวิวดี มีระบบจัดส่งแบบแช่เย็นหรือแช่แข็ง พร้อมกล่องเก็บอุณหภูมิ
- ดูสีและกลิ่นของเนื้อ
เนื้อออสเตรเลียคุณภาพดีควรมีสีแดงสด สม่ำเสมอ ไม่มีจุดคล้ำ และไม่มีกลิ่นเหม็นคาวรุนแรง หากเนื้อดูแห้ง สีคล้ำ หรือมีของเหลวออกมามากเกินไป อาจเป็นสัญญาณของเนื้อที่เก็บไว้นาน
- ตรวจสอบใบรับรองนำเข้าและมาตรฐาน
เนื้อออสเตรเลียที่นำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยควรมีใบรับรองจากกรมปศุสัตว์ และได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพ
การเลือกซื้อเนื้อออสเตรเลียคุณภาพพรีเมียมไม่ใช่เรื่องยาก หากเรามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเกรดเนื้อ ลักษณะของเนื้อแต่ละชนิด และเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ คุณจะสามารถนำเนื้อคุณภาพดีไปปรุงอาหารจานโปรดได้อย่างมั่นใจ ทั้งรสชาติ ความนุ่ม และความปลอดภัย เหมาะสำหรับมื้อพิเศษหรือมอบเป็นของขวัญให้คนรักเนื้อก็ไม่ผิดหวัง